Soft Power คืออะไร ? อำนาจอ่อนมีประโยชน์อย่างไร ? สำคัญแค่ไหน ?

เมื่อ :
ผู้เข้าชม : 11,975
เขียนโดย :
Soft Power คืออะไร ? อำนาจอ่อนมีประโยชน์อย่างไร ? สำคัญแค่ไหน ?
Soft Power คืออะไร ? อำนาจอ่อนมีประโยชน์อย่างไร ? สำคัญแค่ไหน ?
เมื่อ :
ผู้เข้าชม : 11,975
เขียนโดย :

Soft Power คืออะไร ?

คำว่า "Soft Power (อำนาจอ่อน หรือ อำนาจนุ่มนิ่ม)" ถือเป็นนโยบายทางการเมืองชนิดหนึ่งที่ใช้กันมาอย่างยาวนานตั้งแต่ยุคกรีซโบราณ ในยุคปัจจุบันนี้ก็ยังคงเป็นเครื่องมือที่มีความสำคัญมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านนโยบายการเมือง และเศรษฐกิจระหว่างประเทศ

บทความเกี่ยวกับ Marketing อื่นๆ

ความน่าสนใจของ Soft Power คือการชักจูงผู้คนให้เกิดความเห็นด้วย และยินดีให้ความร่วมมือ โดยที่ไม่ต้องใช้ลูกกระสุน หรือเงินตรา มาช่วยในการบิดเบือนเจตนารมณ์

ในยุคปัจจุบันนี้ การทำสงครามระหว่างประเทศด้วยยุทโธปกรณ์โดยตรงไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยเหมือนกับยุคอดีต ส่วนใหญ่ถือว่าไว้ขู่เพื่อป้องกันตัวเองเท่านั้น การรบส่วนใหญ่ในยุคนี้จึงเป็นเรื่องของการทูต และนโยบายทางเศรษฐกิจเป็นหลัก โดย Soft Power ก็เป็นหนึ่งในอาวุธที่อาจจะไม่ได้มีไว้โจมตี แต่มันก็ช่วยเพิ่มอิทธิพลให้กับประเทศได้

ในบทความนี้ เราเลยอยากที่จะมาแนะนำ Soft Power ให้คุณผู้อ่านได้เข้าใจมันมากขึ้น

เนื้อหาภายในบทความ

Soft Power คืออะไร ? (What is Soft Power ?)

Joseph S. Nye Jr. อดีตคณบดีของสถาบัน  Kennedy School of Government แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ที่สร้างนิยามของคำว่า "Soft Power" เป็นคนแรก โดยเขาได้เขียนบทความที่มีชื่อเรียบง่ายว่า "Soft Power" เผยแพร่ในวารสาร Foreign Policy ในปี ค.ศ. 1990 (พ.ศ. 2533) หากคุณผู้อ่านมีความสนใจสามารถหาอ่านเพิ่มเติมได้ในหนังสือที่ชื่อว่า "Soft Power and American Foreign Policy"

Soft Power คืออะไร ? (What is Soft Power ?)
ภาพจาก : http://www.vijaichina.com/%E0%B8%BAbook-reviews/597

โดยนิยาม ของ Nye ได้ระบุเอาไว้ว่า "ซอฟต์พาวเวอร์ (Soft Power)" คือ พลังที่สามารถส่งผลกระทบต่อความต้องการทรัพยากรที่ไม่สามารถจับต้องได้ เช่น วัฒนธรรม, อุดมการณ์ หรือความเชื่อที่มีต่อสถาบันต่าง ๆ" "โดยรัฐสามารถบรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้ด้วยการออกนโยบายส่งเสริมต่าง ๆ ที่ส่งผลให้รัฐ หรือประเทศอื่นยอมรับในความต้องการนั้นได้"

ตัวอย่างการใช้ Soft Power (Soft Power Usage Examples)

ตัวอย่างน่าสนใจที่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ ก็อย่างเช่น สงครามเย็น (Cold war) ที่เกิดขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1947 (พ.ศ. 2490) - ค.ศ. 1991 (พ.ศ. 2534) ซึ่งเป็นสงครามแห่งความตึงเครียดที่เกิดขึ้นตามมาหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ระหว่างกลุ่มสหภาพโซเวียต และประเทศสหรัฐอเมริกา รวมไปถึงประเทศพันธมิตรจากทั้งกลุ่มตะวันออก และกลุ่มตะวันตก 

สงครามเย็นไม่มีการใช้อาวุธเข้าห้ำหั่นกันโดยตรงอย่างรุนแรงเหมือนกับสงครามโลก แต่มันเป็นการที่สองฝ่ายต่างสนับสนุน "ความขัดแย้ง" ที่เกิดขึ้นในภูมิภาคต่าง ๆ ซึ่งสาเหตุของความขัดแย้งก็มาจาเหตุผลด้านแนวคิดการปกครอง เป็นการสู้กันระหว่างกลุ่มลัทธิมากซ์–เลนินที่เป็นตัวตึงคอมมิวนิสต์ที่รัฐต้องการควบคุมทุกอย่างเพียงกลุ่มเดียว กับกลุ่มรัฐทุนนิยมที่สนับสนุนการเลือกตั้งเสรี และสื่อแบบเสรี และยังมีกลุ่มไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดด้วยอีกหนึ่งกลุ่ม 

ท่ามกลางความตึงเครียดนั้น สหรัฐอเมริกาได้ใช้ Soft Power ด้วยการเผยแพร่วัฒนธรรมของตนเองทางคลื่นวิทยุ และนำศิลปินแจ๊สชื่อดัง มาเดินสายออกแสดงในพื้นที่ ซึ่งสิ่งนี้ส่งผลให้ความนิยมของสหภาพโซเวียตตกต่ำลง เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้พวกเขาพ่ายแพ้ไปในสงครามเย็น

ตัวอย่างการใช้ Soft Power (Soft Power Usage Examples)
ภาพจาก : https://www.theguardian.com/music/2018/may/03/jazz-ambassadors-america-cold-war-dizzy-gillespie

หรืออีกตัวอย่างง่าย ๆ ที่เราเห็นกันเป็นประจำในยุคนี้ ก็คือการส่งออกวัฒนธรรมของประเทศเกาหลี ที่รัฐบาลให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ เช่น การสอดแทรกวัฒนธรรมการดื่มเหล้าโซจู การกินรามยอนที่มีสอดแทรกเอาไว้ในซีรีส์เกาหลีแทบทุกเรื่อง ทำให้เกิดการส่งออกโซจู และรามยอนสำเร็จรูปออกจากประเทศมากขึ้นกว่าในอดีตหลายเท่า เพราะทุกคนที่รับชมซีรีส์ต่างก็อยากสัมผัสประสบการณ์แบบนั้นบ้าง นี่ก็เป็นรูปแบบหนึ่งของการทำ Soft Power ที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ

Soft Power คืออะไร ? อำนาจอ่อนมีประโยชน์อย่างไร ? สำคัญแค่ไหน ?
ภาพจาก : https://dataintelo.com/report/soju-market/

ความแตกต่างระหว่าง Soft Power กับ Hard Power (Differences between Soft Power and Hard Power)

Hard Power (อำนาจแข็ง) หมายถึงการใช้กำลังในการบีบบังคับ อาจจะเป็นการใช้กำลังทหาร หรือใช้นโยบายกีดกันทางการค้า เพื่อให้อีกฝ่ายยอมทำตามด้วยความจำนนเพื่อเอาตัวรอด

ในทางตรงกันข้าม Soft Power จะชักชวนให้คนเปลี่ยนแปลงมามีความเห็นชอบอย่างช้า ๆ ผ่านการส่งออกวัฒนธรรม, ค่านิยม และแนวคิด

เราสามารถสรุปง่าย ๆ ได้ว่า Soft Power เป็นการพยายามที่จะทำให้เป้าหมาย "อยากทำ" ในสิ่งที่เราต้องการ ในขณะที่ Hard Power เป็นการบีบบังคับเป้าหมายให้ทำตามความต้องการด้วยการใช้อำนาจที่เหนือกว่า แม้ผลลัพธ์อาจจะเหมือนกัน แต่ว่าในระยะยาวผลลัพธ์ที่ได้จากการใช้ Soft Power จะมีความยั่งยืนกว่ามาก เพราะพวกเขาต้องการมันด้วยความคิดของตัวเอง 

เครื่องมือที่ใช้ในการทำ Soft Power (Soft Power Tools)

ในการทำ Soft Power นั้น ต้องอาศัยปัจจัย หรือความร่วมมือจากหลายภาคส่วน จึงจะสำเร็จได้ แต่หลัก  ๆ จะมีอยู่ 6 ด้าน ดังต่อไปนี้

1. โลกดิจิทัล

เพราะอินเทอร์เน็ตคือสื่อที่ใหญ่ที่สุดในโลก ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนของมุมโลก ทุกคนก็สามารถใช้มันในการติดตามข่าวสาร และเข้าถึงวัฒนธรรมของชนชาติใดก็ได้ การใช้ประโยชน์จากเว็บไซต์, Blogs และ Social media จึงเป็นช่องทางสำคัญในการเผยแพร่อิทธิพลด้านวัฒนธรรมผ่านการสนทนาบนโลกออกไลน์

2. การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม

การแปลเปลี่ยนวัฒนธรรม ช่วยให้ผู้คนเข้าใจ และเห็นคุณค่าของมันมากขึ้น เป็นสถานการณ์ที่ได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่ายแบบ Win-win สามารถทำได้หลายวิธี เช่น การจัดเทศกาล, นิทรรศการ หรือมหกรรมคอนเสิร์ต เพื่อเปิดโอกาสให้ผลงานของศิลปินเติบโตมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเพลง, ภาพยนตร์ หรืองานศิลปะแขนงใดก็ตาม

3. การศึกษา

โครงการแลกเปลี่ยนการศึกษาเป็นวิธีที่หลายประเทศกำลังนิยมเลือกใช้มากขึ้น ด้วยการเปิดโอกาสให้ทุนการศึกษา เพื่อสร้างสัมพันธ์ และยังช่วยในด้านชื่อเสียงในระดับนานาชาติ ซึ่งรวมถึงการมีนโยบายที่ช่วยในการไปศึกษาต่อในต่างประเทศสำหรับผู้ที่สนใจอีกด้วย

ซึ่งหากไปได้สวย นักเรียนต่างชาติมักจะมีความสัมพันธ์ที่ดีอยู่แล้วกับเพื่อนร่วมชั้น ซึ่งมันมีส่วนสำคัญในการช่วยวางรากฐานให้กับภาพลักษณ์ของประเทศบ้านเกิดดูดีขึ้นตามไปด้วย

4. การทูต

การทูตที่แข็งแกร่ง มีความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศต่าง ๆ จะช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดี และยังเป็นองค์ประกอบสำคัญให้สิ่งที่เรากล่าวไปก่อนหน้านี้สามารถเกิดขึ้นได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการแลกเปลี่ยนทางการศึกษา หรือจัดงานอะไรก็ตาม

5. กีฬา

การจัดงานแข่งกีฬาระดับโลก ได้กลายเป็นเครื่องมือชิ้นสำคัญในการเผยแพร่ Soft Power เราถึงได้เห็นการแย่งชิงโอกาสการได้เป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก และเจ้าภาพโอลิมปิก ชาติที่ได้เป็นเจ้าภาพก็จะลงทุนเม็ดเงินจัดเต็มทั้งพิธีเปิด และพิธีปิด เพื่อแสดงวัฒนธรรมของชาติตนเองออกมาให้ได้มากที่สุด เพราะหวังว่าจะสามารถดึงดูดนักลงทุน และนักท่องเที่ยวให้เพิ่มมากขึ้น

นโยบายเศรษฐกิจ

แผนเศรษฐกิจที่ดีจะดึงดูดนักลงทุน และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ประเทศจีนเป็นตัวอย่างที่ดีที่ประสบความสำเร็จในการทำ Soft power ด้านนี้ จนกลายเป็นแหล่งผลิตที่ใหญ่ที่สุดในโลก อุปกรณ์ทุกชนิดบนโลกนี้ส่วนใหญ่ไม่ว่าจะยี่ห้ออะไรก็ตาม ก็มักจะถูกผลิตขึ้นที่จีน

ประโยชน์ของ Soft Power (Benefits of Soft Power)

เป็นที่ยอมรับกันดีแล้วว่า Soft Power ช่วยสร้างประโยชน์เป็นอย่างมากในหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นต่อประเทศ, ประชาชน, ธุรกิจ และองค์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นขนาดเล็ก หรือขนาดใหญ่ก็ตาม 

ประเทศที่มีภาพลักษณ์ดี ย่อมส่งอิทธิพลให้คนอยากเข้ามาเที่ยว, ลงทุน หรือมาอยู่อาศัย ซึ่งนั่นหมายความว่าอยากจะมีคนเก่ง ๆ เข้ามาทำงานมากขึ้นด้วย ซึ่งสิ่งเหล่าจะช่วยกระตุ้นให้เม็ดเงินไหลเข้าประเทศมากขึ้น นอกจากนี้ ชื่อเสียงที่ดียังทำให้ประเทศเพื่อนบ้านอยากเป็นมิตรด้วย ทำให้การนำเข้า ส่งออกอะไรหลาย ๆ อย่าง ทำได้ง่ายขึ้น

ประโยชน์ของ Soft Power (Benefits of Soft Power)
ภาพจาก : https://www.iasparliament.com/current-affairs/gs-ii/sports-as-soft-power

ประเทศที่มี Soft Power ที่แข็งแกร่งที่สุด (Which country has the strongest Soft Power ?)

ในการจัดอันดับค่า Soft Power จะมีหลายปัจจัยที่ถูกนำมาประเมิน องค์ประกอบที่สำคัญอย่างเช่น

  • สิทธิเสรีภาพในการแสดงออก และใช้ชีวิต
  • คุณภาพการผลิตสื่อที่ดี เป็นที่รู้จักแพร่หลายไปได้ทั่วโลก
  • กฏหมายภายในประเทศ และกฏหมายระหว่างประเทศที่เป็นธรรม
  • การประสบความสำเร็จในโอลิมปิก
  • มีนโยบายที่สนับสนุนผู้ที่ย้ายถิ่นฐานเข้ามาอาศัยภายในประเทศ
  • จำนวนนักท่องเที่ยว
  • อัตราการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
  • ในโลกปัจจุบันที่อินฟลูเอนเซอร์มีความทรงอิทธิพลเป็นอย่างมาก ต่อความเห็นของสาธารณชนเป็นอย่างมาก จำนวนอินฟลูเอนเซอร์จึงมีผลเช่นกัน
  • การส่งเสริมวัฒนธรรม และมรดกตกทอดของชาติ
  • ศักยภาพในการเติบโตของประเทศ

ประเทศที่มี Soft Power ที่แข็งแกร่งที่สุด (Which country has the strongest Soft Power ?)
ภาพจาก : https://softpower.brandfinance.com/2023/globalsoftpowerindex

สำหรับประเทศที่ได้รับการจัดอันดับว่ามี Soft Power ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก จากการจัดอันดับในปี ค.ศ. 2023 (พ.ศ. 2566) อันดับหนึ่งคือ ประเทศสหรัฐอเมริกา (United States of America - USA) ตามมาด้วยอันดับสองคือสหราชอาณาจักร (United Kingdom - UK) ส่วนอันดับสามก็คือประเทศเยอรมนี (Germany)

ทางทวีปเอเชีย ก็มีประเทศญี่ปุ่น (Japan) ที่อยู่ในอันดับที่ 4 ตามมาด้วยประเทศจีน (China) ในอันดับ 5 ส่วนประเทศเกาหลีใต้ (South Korea) เองก็เป็นประเทศที่รัฐบาลมีความจริงจังกับนโยบายด้าน Soft Power เป็นอย่างมาก โดยเริ่มผลักดันมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1988 (พ.ศ. 2531) ซึ่งมีเหตุการณ์สำคัญคือกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนครั้งที่ 24 ที่ถูกจัดขึ้นที่กรุงโซล ประเทศเกาหลี ผ่าน 14 ปี ตอนนี้ประเทศเกาหลีก็ขึ้นมาอยู่ในลำดับที่ 15 ดังที่เราเห็นกระแสเกาหลีฟีเวอร์ได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นซีรีส์, ศิลปิน, อาหาร และเครื่องดื่ม ซึ่งโด่งดังในระดับสากล

ส่วนประเทศไทย (Thailand) ในปี ค.ศ. 2023 (พ.ศ. 2566) นี้ ก็อยู่ที่อันดับอันดับ 41 คำว่า Soft Power ในประเทศไทยนั้นเป็นคำที่ไม่ได้ยินมานาน คนใหญ่คนโตในบ้านเราเพิ่งจะหันมาเห็นความสำคัญจากการที่มีอินฟลูเอนเซอร์คนไทยทำอะไรบางอย่างบนเวทีโลก และสามารถสร้างกระแส จนสินค้าที่ อินฟลูเอนเซอร์ แนะนำได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เช่น การกินข้าวเหนียวมะม่วงบนเวทีบนเวที Coachella ของศิลปินมิลลิ (Milli) หรือแม้แต่ ลิซ่า (Lisa) แห่งวง BLACKPINK ที่หยิบอะไรโพสต์ลง Instagram ก็ทำให้สินค้าดังกล่าวได้รับความนิยมตามไปด้วย แม้กระแสอาจจะอยู่ไม่นานนักเพราะมันยังขาดการสนับสนุนอีกหลายอย่าง แต่ก็เป็นโอกาสอันดีที่รัฐบาลควรหันมาสนับสนุนนโยบาย Soft Power ให้มากขึ้น

สรุปเกี่ยวกับ Soft Power (Soft Power Conclusion)

อินโฟกราฟิก เกี่ยวกับ อำนาจอ่อน (Soft Power Infographic)

ท้ายที่สุดแล้ว Soft Power เป็นสิ่งที่ประเทศ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล หรือเอกชน รวมไปถึงประชาชนควรให้ความสนใจ โดยรัฐบาลควรมีนโยบายสนับสนุน ทำความเข้าใจว่าจุดแข็งด้านวัฒนธรรมในชาติของตนคืออะไร ? และจะทำอย่างไรให้ประชาชนในประเทศเข้าใจ และส่งเสริมมันได้

Soft Power จะเกิดขึ้นได้ต้องประกอบขึ้นจากนโยบาย, โครงสร้าง และความร่วมมือจากทุกฝ่าย มันไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ภายในชั่วพริบตา แต่หากมีแผนการที่ดี สักวันมันจะต้องสำเร็จอย่างแน่นอน