Elon Musk กับ Mark Zuckerburg อยากต่อยกันทำไม ? ทะเลาะอะไรกันหรือเปล่า ?
ทำไม Elon Musk กับ Mark Zuckerburg ถึงอยากต่อยกัน ?
หลังจากทำสงครามน้ำลายผ่าน โซเชียลมีเดีย (Social Media) มาหลายปี ในที่สุดก็ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ระหว่าง นายอีลอน มัสก์ (Elon Musk) กับ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerburg) 2 นักธุรกิจสายเทค ชื่อดังระดับโลก จะมาถึงจุดที่แค่การเกรียนผ่าน คีย์บอร์ด (Keyboard) จะไม่ตอบโจทย์ทั้งคู่เสียแล้ว
- Viral Marketing คืออะไร ? รู้จักการตลาดแบบปากต่อปาก ชนิดไฟลามทุ่ง กัน
- Cyberbullying คืออะไร ? รู้ได้ไงว่ากำลังโดนกลั่นแกล้งอยู่ ? พร้อมวิธีรับมือ
- อาชีพ Influencer ดีจริงหรือไม่ ? ดู 7 ปัจจัยหลักที่ควรคำนึงก่อนเป็น
- Reels กับ Stories คืออะไร ? ต่างกันอย่างไร ? มีตารางเปรียบเทียบ
- Comment Marketing คืออะไร ? รู้จักการตลาดแบบปลิง และสิ่งที่ควร-ไม่ควรทำ
เพราะตอนนี้มีการยั่วยุว่าจะนัดต่อยกันในกรงเหล็กแบบนักสู้ MMA กลายเป็นวาระให้ขาวเน็ตลุ้นให้มันเกิดขึ้นอยู่ ว่ากันว่าหากเกิดขึ้นจริงมันจะเป็นแมตช์หยุดโลกที่มีมูลค่ามหาศาลเลยล่ะ
I’m up for a cage match if he is lol
— Elon Musk (@elonmusk) June 21, 2023
ในอดีตหัวข้อการต่อสู้กันแบบตัวต่อตัวระหว่าง Elon Musk กับ Mark Zuckerburg ว่าใครจะชนะ อาจเป็นเพียงหัวข้อขำขันกันในวงเหล้า ที่ไม่มีใครรู้คำตอบ แต่ไม่แน่ว่าเราอาจจะได้รู้คำตอบที่แท้จริงในอนาคตอันใกล้นี้ก็เป็นได้
ถ้าว่ากันตรงๆ แล้ว Elon Musk และ Mark Zuckerburg มีปัญหาขัดแย้งกันมานานกว่า 6 ปีแล้ว โดยจุดเริ่มต้นของปัญหามาจากเรื่องปัญญาประดิษฐ์ และโครงการจรวด
ย้อนกลับไปในปี ค.ศ. 2016 (พ.ศ. 2559) บริษัท SpaceX ได้เกิดระเบิดขึ้นในขณะปล่อยตัว ซึ่งในครั้งนั้นมันได้ทำลายดาวเทียมของ Facebook ไปด้วย ตอนนั้น Mark Zuckerburg ได้ประกาศแถลงการณ์ว่า "เขาผิดหวังเป็นอย่างมาก" กับความล้มเหลวของ SpaceX
จากนั้นไม่นาน Facebook ตกเป็นข่าวอื้อฉาวจาก คดี Cambridge Analytica ที่เป็นการละเมิดข้อมูลของผู้ใช้เพื่อนำไปแสวงหาผลประโยชน์ในการเลือกตั้ง Elon Musk ก็ได้ลบเพจของบริษัทบนแพลตฟอร์ม Facebook ทิ้งทันที พร้อมกับทวีตว่า
Facebook gives me the willies
— Elon Musk (@elonmusk) April 5, 2022
ซึ่ง "Willies" นั้นเป็นคำแสลงที่แปลว่า "ทำให้รู้สึกหวาดกลัว"
หลังจากนั้น Elon Musk และ Mark Zuckerburg ก็มีความเห็นขัดแย้งกันเรื่อยมา แซะกันต่อเนื่องมานานหลายปี ในบทความนี้เราก็จะเลยจะมาสรุปประเด็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นมาให้อ่านกัน ว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง ...
ปี ค.ศ. 2016 (พ.ศ. 2559) - Elon Musk ทำดาวเทียมของ Facebook ระเบิด
ในเดือนกันยายน ปี ค.ศ. 2016 (พ.ศ. 2559) โครงการ SpaceX ของพ่อหนุ่ม Elon Musk ได้ทดสอบการปล่อยจรวด Falcon 9 ที่ฐานปล่อยจรวดในแหลมคานาเวอรัล (Cape Canaveral) รัฐฟลอริดา ซึ่งในภารกิจนี้ ยานของ SpaceX จะพาดาวเทียมของ AMOS-6 มูลค่า $200,000,000 (ประมาณ 7,016,000,000.00 บาท) ของ Facebook เข้าสู่วงโคจรด้วย
ดาวเทียม AMOS-6 เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Internet.org ที่มีวัตถุประสงค์ในการพัฒนา เครือข่ายอินเทอร์เน็ต ในพื้นที่ทุรกันดาร แถมมันก็เป็นดาวเทียมดวงแรกของบริษัท Facebook อีกด้วย
แต่ปรากฏว่างานนี้จบไม่สวย เพราะยานของ SpaceX เกิดเหตุการณ์ระเบิดขณะปล่อยตัว ซึ่งมันส่งผลให้ดาวเทียมของ Facebook ถูกทำลายไปด้วย ซึ่งเรื่องนี้น่าจะสร้างความไม่พอใจให้กับ Mark Zuckerburg เป็นอย่างมาก เพราะเขาได้เขียนแถลงการณ์ร่ายยาวบน Facebook ใจความประมาณว่า
"ผิดหวังมากที่การปล่อยตัวยาน SpaceX ล้มเหลว และมันได้ทำลายดาวเทียมที่เป็นความหวังของผู้ประกอบการ และทุกคนที่อยู่ในถิ่นทุรกันดาร"
หลังจากนั้น ผ่านไป 2 ปี Elon Musk ได้ตอบกลับทวิตเตอร์ที่บอกว่าเขาเคยทำดาวเทียมของ Facebook พัง ว่า
Yeah, my fault for being an idiot. We did give them a free launch to make up for it and I think they had some insurance.
— Elon Musk (@elonmusk) March 23, 2018
"ใช่เลย มันเป็นความโง่ของผมเอง ที่ผมได้ชดใช้พวกเขาด้วยการไม่คิดค่าใช้จ่าย และผมก็คิดว่าเขามีประกันภัยอยู่แล้ว"
ปี ค.ศ. 2017 (พ.ศ. 2560) - Mark Zuckerburg บอกว่า Elon Musk หวาดกลัว AI เกินเหตุ
ในปี ค.ศ. 2017 (พ.ศ. 2560) Mark Zuckerburg ได้แซะทัศนคติที่ Elon Musk มีต่อ เทคโนโลยี AI ในทิศทางที่ตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิง
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นระหว่างการไลฟ์สดของ Mark Zuckerburg บน Facebook โดยผู้ชมรายหนึ่งได้ถามเขาว่า มีความเห็นอย่างไรกับการที่ Mark Zuckerburg กังวลเกี่ยวกับ เทคโนโลยี AI ซึ่งเขาได้ตอบว่า
"ผมค่อนข้างไม่เห็นด้วยเกี่ยวกับประเด็นเรื่องความก้าวหน้าของเทคโนโลยี AI ผมเป็นคนที่พยายามปรับตัวตามเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า และผมคิดว่าคนที่พูดไม่คิด และพยายามพูดในแง่ลบราวกับมันเป็นวันโลกาวินาศ เป็นการพูดที่ขาดความรับผิดชอบ"
แน่นอนว่างานนี้ Elon Musk ผู้ซึ่งพยายามเสนอมาตรการควบคุมการใช้งานเทคโนโลยี AI ได้ออกมาทวีตตอบโต้ในทันทีว่า
I've talked to Mark about this. His understanding of the subject is limited.
— Elon Musk (@elonmusk) July 25, 2017
"ผมเคยคุยกับมาร์กในประเด็นนี้ ความเข้าใจที่เขามีต่อหัวข้อนี้ค่อนข้างมีจำกัด"
ปี ค.ศ. 2018 (พ.ศ. 2561) - Elon Musk ลบเพจทั้งหมด ของบริษัทออกจาก Facebook
ในตอนที่ Facebook ตกเป็นข่าวอื้อฉาวจากคดี Cambridge Analytica ผู้ก่อตั้ง WhatsApp นาย Brian Acton ได้ทวีตว่า "มันถึงเวลาแล้วที่เราต้อง #deletefacebook (ลบ Facebook)" โดยมี Elon Musk เข้าไปตอบด้วยว่า "Facebook คืออะไร ?"
แฟนคลับก็เลยเข้าตอบโต้ทวีตของ Elon Musk ว่า "แล้วเพจ SpaceX บน Facebook ล่ะ ?" ซึ่งเขาก็ได้ตอบไปว่า "ผมไม่รู้ว่ามันมีอยู่ ลบแป๊ป" จากนั้นก็มีแฟนคลับรายอื่นเขามาตอบว่า "แต่มันยังมีเพจ Tesla อยู่เลย" ครั้งนี้ Elon Musk ตอบกลับไปว่า "มันช่างดูโง่ช่ะมัด"
หลังจากนั้นไม่นาน หน้าเว็บเพจของ SpaceX และ Tesla ก็ได้หายไปจากแพลตฟอร์ม Facebook ซึ่ง Elon Musk บอกว่านี่ไม่เกี่ยวกับเหตุผลด้านการเมือง แต่ตัวเขาเพิ่งค้นพบว่า Facebook เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยความไม่สงบ
Tesla and SpaceX Leave Facebook After Twitter Users Encourage Musk https://t.co/qNNfNHehJ2 #Tesla #SpaceX #ElonMusk #Facebook
— Tesla Motors Club (@TeslaMotorsClub) March 24, 2018
ปี ค.ศ. 2020 (พ.ศ. 2563) - Elon Musk ยังคงชวนคนลบ Facebook อยู่
ในปี ค.ศ. 2020 (พ.ศ. 2563) ทาง Sacha Baron Cohen นักแสดงตลก และนักเขียนชาวอังกฤษ ที่เคยได้รับรางวัลลูกโลกทองคำ ได้ออกมาทวีตเรียกร้องให้มีการควบคุมอำนาจของ Facebook ในเชิงว่า เราไม่ควรให้คนเพียงคนเดียวมีอำนาจในการควบคุมข้อมูลของคน 2.5 พันล้านคน เอาไว้อยู่ในมือ Facebook ควรจะต้องอยู่ในการควบคุมของรัฐบาล
และแน่นอนว่าทาง Elon Musk ก็ไม่พลาดโอกาสที่จะมาตอบกลับ เชิญชวนให้ทุกคนลบ Facebook ทิ้ง
We don’t let 1 person control the water for 2.5 billion people.
— Sacha Baron Cohen (@SachaBaronCohen) February 5, 2020
We don’t let 1 person control electricity for 2.5 billion people.
Why do we let 1 man control the information seen by 2.5 billion people?
Facebook needs to be regulated by governments, not ruled by an emperor! pic.twitter.com/o4hNRFNpgt
ปี ค.ศ. 2021 (พ.ศ. 2564) - Elon Musk บอกว่า Facebook คือต้นเหตุของการจลาจล
ในคืนที่รัฐวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เกิดเหตุการณ์จลาจล Elon Musk ก็ไม่พลาดโอกาสที่จะหาทางเลี้ยวไปแซะ Facebook ว่านี่เป็นผลมาจากทฤษฎีที่เรียกว่า "โดมิโนเอฟเฟค" โดยเขาได้ทวีตรูปโดมิโน ที่ตัวแรกมีแปะข้อความเอาไว้ว่า "เว็บไซต์ให้คะแนนความสวยของสาวในแคมปัส" ซึ่งหมายถึง จุดเริ่มต้นของ Facebook ที่ถูกพัฒนาขึ้นจากเว็บไซต์ให้คะแนนความรูปสาวในมหาลัยฮาร์วาร์ด ส่วนโดมิโนตัวสุดท้ายเป็นเหตุการณ์จลาจล
This is called the domino effect pic.twitter.com/qpbEW54RvM
— Elon Musk (@elonmusk) January 7, 2021
นอกจากนี้ทาง Elon Musk ยังแสดงความไม่พอใจเกี่ยวกับนโยบายแบ่งปันข้อมูล ที่ Facebook บังคับให้ผู้ใช้ยอมรับการแบ่งปันข้อมูลระหว่างแพลตฟอร์ม Facebook กับ WhatsApp หากต้องการใช้งานแพลตฟอร์มดังกล่าว พร้อมกับเชิญชวน ให้คนหันมาใช้บริการ "Signal" แอปพลิเคชันส่งข้อความแบบเข้ารหัสแทน ซึ่งทวีตดังกล่าวได้ถูก Jack Dorsey ซีอีโอของ Jack Dorsey (ณ เวลานั้น) รีทวีตด้วย
ปี ค.ศ. 2022 (พ.ศ. 2565) - Elon Musk เข้าซื้อกิจการ Twitter
ทาง Elon Musk ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อที่งานสัมมนา TED ตอนนั้น Chris Anderson ผู้เป็นพิธีกรได้ถาม Elon Musk ว่า
"ไม่ว่าจะในฐานะของบุคคลที่รวยที่สุดในโลก หรือฐานะของผู้มีอิทธิพลบน Twitter มีความเป็นไปได้ไหมที่จะเกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์ ถ้าหากคุณซื้อ Twitter"
และเมื่อถูกชงมาให้ขนาดนี้ มีหรือที่ Elon Musk จะปล่อยโอกาสแซะคนที่เขาไม่ชอบขี้หน้าให้หลุดมือไป เขาจึงตอบว่า
"ในมุมมองของเจ้าของกิจการสื่อแล้ว คุณน่าจะรู้อยู่แล้วว่า Mark Zuckerberg เป็นเจ้าของ Facebook, Instagram และ WhatsApp ทั้งหมดอยู่ภายใต้การบริหารดูแลบริษัท Meta ของ Mark Zuckerberg เพียงผู้เดียว"
เป็นการสื่อโดยอ้อมว่า
"มันไม่มีอะไรแบบนั้นที่ Twitter"
ในเดือนธันวาคม ปี ค.ศ. 2022 (พ.ศ. 2564) บริษัท Meta ได้มองเห็นโอกาสจากการที่ Twitter กำลังอยู่ในสถานการณ์ปั่นป่วนจากปัญหาที่ Elon Musk พยายามเข้าซื้อกิจการ โดยมีการประชุมระดมความคิดที่จะพัฒนาโซเชียลเน็ตเวิร์ก ตัวใหม่ที่เน้นการสื่อสารด้วยตัวอักษรเป็นหลัก ภายใต้โครงการลับที่ใช้ชื่อว่า "Project 92"
ทาง Chris Cox ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิตภัณฑ์ของ Meta ได้ออกมายืนยันว่า "Project 92" เป็นแผนที่เราเตรียมไว้ตอบโต้ Twitter พร้อมกับย้ำว่า "เราต้องการสร้างพื้นที่ที่มีความมั่นคง และสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้งานได้" ตบท้ายด้วยการแซะคู่แข่งเบา ๆ ว่า "เราเป็นแพลตฟอร์มที่ทำงานอย่างมีสติ"
แน่นอนว่า Elon Musk ก็ได้ทวีตโต้ตอบแบบเกรียน ๆ ว่า "Zuck my :p" ซึ่งเป็นแสลงที่ค่อนข้างหยาบ ประมาณว่า "เลียองคชาติผมสิ"
Daily Mail headline 🤣 pic.twitter.com/eg0NUA7Ny8
— ALX 🇺🇸 (@alx) June 20, 2023
ปี ค.ศ. 2023 (พ.ศ. 2566) - Mark Zuckerberg ชมแผนการบริหารของ Elon Musk
มีตอนหนึ่งของรายการ "The Lex Fridman Podcast" ที่ Mark Zuckerburg ได้เป็นแขกรับเชิญ พิธีกรได้ถามความเห็นเกี่ยวกับการดูแล Twitter ของ Elon Musk ซึ่งเขาตอบคำถามในเชิงชื่นชมคู่แข่ง ซึ่งเป็นเรื่องหายากสำหรับการเอ่ยถึงคนที่มีความขัดแย้งกันมาอย่างต่อเนื่อง
โดย Mark Zuckerburg ได้บอกว่าการที่ Elon Musk ทำการปรับระบบองค์กรด้วยการ Lean เป็นความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีสำหรับ Twitter
นั่นอ้างอิงถึงเหตุการณ์ที่ทันทีที่ Elon Musk ได้ครอบครอง Twitter เขาได้ทำการลดจำนวนพนักงานลงเกือบครึ่งในทันที ซึ่งตัว Mark Zuckerburg เอง ก็ได้ดำเนินการในลักษณะเดียวกัน ด้วยการลดจำนวนพนักงานลงเป็นจำนวน จนทำให้ปี ค.ศ. 2023 (พ.ศ. 2566) ถูกขนาดนามว่า "ปีแห่งประสิทธิภาพ"
ทั้งคู่ต้องการได้รับการยกย่องจากสังคม
(Both of them need to be respected by society)
ความขัดแย้งของทั้งคู่ ไม่น่าจะมาจากการแข่งขันทางธุรกิจ เพราะแม้ทั้งคู่จะเป็นบริษัทเทคโนโลยีเหมือนกัน แต่ก็เป็นธุรกิจคนละประเภท
มีการวิเคราะห์ว่า Mark Zuckerburg มีความกระหายที่จะได้รับการยอมรับจากสังคมมากกว่านี้ในฐานะของผู้บุกเบิกเทคโนโลยี ซึ่งเป็นสิ่งที่ Elon Musk ได้รับคำชมมาโดยตลอดว่าเปรียบเหมือนโทนี สตาร์กในชีวิตจริงมาโดยตลอด ก็มีความเป็นไปได้ เพราะทั้งคู่ต่างเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ และมีเงินทองมหาศาลอยู่แล้ว ความต้องการขั้นถัดไปของมนุษย์จึงเป็นการได้รับการยอมรับ เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ และชื่อเสียง มากกว่าที่จะเป็นเงินทองที่มีอยู่อย่างเหลือเฟือแล้ว
นัดชกกันในกรง
(Fight in a Cage)
จากความขัดแย้งมาสู่การนักชกกันในกรง มีไทม์ไลน์ดังนี้
- Elon Musk ทวีตว่าการเปิดตัวแพลตฟอร์ม Threads ของ Meta จะทำให้ทั้งโลกอยู่ภายใต้การควบคุมของ Mark Zuckerburg
- มีแฟนไปรีทวีตตอบ Elon Musk ว่า "ระวังนะ ผมได้ยินมาว่าเขา (Mark Zuckerburg) เชี่ยวชาญยิวยิตสู"
- Elon Musk ตอบกลับไปว่า "มาดิพร้อมเจอในกรงได้ ถ้าเขาพร้อมน่ะ"
มาถึงตอนนี้ มันก็ฟังดูเหมือนคุยกันแบบตลกในวงเหล้า แต่ดูเหมือนว่า Mark Zuckerburg จะไม่ตลกด้วย เขาได้แคปทวีตดังกล่าวมาลงใน Story บน Instagram พร้อมแคปชัน "ส่งสถานที่มาได้เลย"
ภาพจาก https://nypost.com/2023/06/22/mark-zuckerberg-accepts-elon-musks-cage-fight-send-me-the-location/
นอกจากนี้ โฆษกของ Meta ก็ได้ตอบคำถามกับสื่อ The Verge ว่า งานนี้ Mark Zuckerberg จริงจังนะ ส่วนทาง Elon Musk ก็บอกว่ามาเจอกันได้ที่ "Vegas Octagon" ซึ่งเป็นสนามแข่งขัน UFC ระดับโลก
แน่นอนว่างานนี้หากเกิดขึ้นจริง จะเป็นแมตช์หยุดโลกที่ทั้งโลกจับตามอง นั่นหมายถึงเม็ดเงินที่จะเกิดขึ้นจำนวนมหาศาล ซึ่งทาง Dana White ประธานของ UFC ก็ออกตัวว่ายินดีจัดให้ พร้อมสนับสนุนเต็มที่หากทั้งคู่ต้องการมาสู้กันจริง อย่างไรก็ตาม Mate Musk มารดาของ ELon Musk ได้เตือนลูกชายว่า "อย่าหาทำ สู้กันด้วยคำพูดแค่พอสนุกปากพอ" ก็ไม่รู้ว่าขบถอย่าง Elon Musk จะเชื่อมารดาหรือเปล่า
เวที UFC Octagon
ภาพจาก : https://www.reviewjournal.com/sports/mma-ufc/ufc-pay-per-views-head-exclusively-to-espn-plus-1620959/attachment/ufc-fight-night-the-o2-arena-a-general-view-of-the-octagon-at-the-o2-arena-london-2/
หาก Elon Musk กับ Mark Zuckerburg สู้กันจริง ใครน่าจะเป็นผู้ชนะ ? (Who is likely to win in the fighting of Elon Musk and Mark Zuckerburg ?)
จะสู้กันจริงหรือไม่ ยังไม่มีความแน่ชัด แต่หากสู้กันจริง ทุกคนน่าจะอยากรู้ว่าใครจะเป็นผู้ชนะในศึกครั้งนี้
Elon Musk มีจุดแข็งด้วยขนาดตัวที่ล่ำกว่า ด้วยความสูง 187 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 84 กิโลกรัม ซึ่งเขาเคยทวีตบอกว่า "ผมมีท่าไม้ตายที่เรียกว่า "The Walrus" ที่เขาจะทับคู่ต่อสู้เอาไว้ให้ขยับตัวไม่ได้โดยที่ผมไม่ต้องทำอะไรเลย" แต่ในส่วนของความฟิตนั้น Elon Musk บอกว่าเขาไม่ชอบออกกำลังกาย นอกจากการอุ้มลูกของเขาเอง และโยนลูกไปบนอากาศเท่านั้น
Lex Fridman นักวิทยาการคอมพิวเตอร์ที่เคยฝึกร่วมกับ Elon Musk และ Mark Zuckerburg ได้ออกมาเล่าวว่า
"ผมเคยเทรนนิ่งกับ Elon Musk แบบกะทันหัน แม้จะเป็นเวลาไม่กี่ชั่วโมง แต่ผมก็ประทับใจในความแข็งแรง และพลังร่างกายของเขา รวมไปถึงทักษะด้านฟุตเวิร์คที่เขามี"
อย่างไรก็ตาม แม้ Mark Zuckerburg จะเสียเปรียบด้านขนาดของรูปร่าง เพราะเขาสูงเพียง 171 เซนติเมตร และมีน้ำหนักตัวประมาณ 70 กิโลกรัม แต่เขาก็มีความได้เปรียบในเรื่องของความหนุ่มด้วยอายุแค่ 39 ปี น้อยกว่า Elon Musk ที่ตอนนี้อายุ 52 ปี ถึง 13 ปี
นอกจากนี้ เขายังเป็นนักกีฬายิวยิตสู ที่เคยคว้าเหรียญทอง และเหรียญเงิน ในการแข่งขันระดับมือสมัครเล่นมาแล้ว
ภาพจาก : https://www.theguardian.com/technology/2023/may/08/facebook-founder-mark-zuckerberg-jiu-jiutsu
ดังนั้น ถึงแม้ว่า Mark Zuckerburg จะตัวเล็กกว่า Elon Musk แต่ความพร้อมทางร่างกาย และคุณสมบัติความเป็นนักกีฬาของเขา น่าจะสูงกว่า Elon Musk ที่เคยทวีตเล่าว่า มื้อเช้าของเขาคือไอศครีมถ้วยโต, บิสกิต และโดนัท ในขณะที่ Mark Zuckerburg เล่าว่า เขามักจะออกกำลังกายด้วยการวิ่งเป็นประจำ, เล่นเซิร์ฟบอร์ด และ MMA
นอกจากนี้ Mark Zuckerburg ยังเพิ่งเริ่มทำชาเลนจ์ "Murph" การออกกำลังกายตาม Lt Michael P Murphy หน่วยซีลที่เสียชีวิตไปในระหว่างปฏิบัติภารกิจ Operation Red Wings ในปี ค.ศ. 2005 (พ.ศ. 2568) โดยชาเลนจ์นี้ เป็นการฝึกร่างกายที่ค่อนช้างหนัก ประกอบด้วยการยึดตัว 100 ครั้ง, วิดพื้น 200 ครั้ง, สควอทอีก 300 ครั้ง และวิ่งทางไกลด้วย โดยทั้งหมดนี้ต้องทำโดยใส่ที่ถ่วงน้ำหนักขนาด 17.7 กิโลกรัม เอาไว้ด้วย ซึ่ง Mark Zuckerberg บอกว่าเขาทำทั้งหมดนี้ใน 39:58 นาที
จะเห็นได้ว่าร่างกายของ Mark Zuckerburg ได้รับการฝึกฝนเป็นอย่างดี ในขณะที่ Elon Musk ใช้ชีวิตแบบชิล ๆ แถมเขายังเคยโพสต์เล่าถึงอาการบาดเจ็บที่หลังจากการไปแบ่งซูโม่มาด้วย ก็ไม่รู้ว่าในขณะนี้อาการบาดเจ็บที่ว่าหายดีแล้วหรือยัง
แต่สมมติว่าทั้งคู่มีร่างกายที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ การแข่งขันในครั้งนี้ก็จะเป็นการต่อสู้ระหว่าง "ความคล่องตัว" กับ "ความแข็งแรง" ซึ่งในการต่อสู้แบบในกรงแล้ว ความคล่องตัว กับความอึดของร่างกายสำคัญมาก ซึ่งเป็นจุดที่ Mark Zuckerburg มีความได้เปรียบ อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่ง และขนาดตัวที่สูงใหญ่กว่า จะทำให้นักสู้มีระยะโจมตีที่ไกลกว่า หากใช้เทคนิคดี ๆ ก็สามารถทำให้คู่ต่อสู้ตอบโต้กลับได้ยาก
ผลลัพธ์จึงน่าจะอยู่ที่ว่า หาก Mark Zuckerburg สามารถยืนสู้ได้ไหว ในระยะยาว Elon Musk ก็จะหมดแรงก่อน และน่าจะแพ้ไปในที่สุด แต่ถ้าเขาพลาดโดนซัดเขาไปตั้งแต่ต้นเกม ก็มีสิทธิ์ร่วงได้เหมือนกัน